Wednesday, January 18, 2017

#พ่อช็อก! ลูกนอนละเมอ ครูค่ะ หนูเจ็บ.. ผวาร้องไห้ เมื่อรู้ความจริง หัวอกหัวใจพ่อจะขาดให้ได้จริงๆ


สยามอัพเดทนำเรื่องคำให้การของพ่อที่แสนเจ็บปวด เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 โรงเรียนเทศบาลแห่ง 1 อ.บางคล้า น้องอยู่ ป.1/3 ผิดที่เขียนหนังสือช้า ถูกลงโทษด้วยการใช้ไม้พายมัดผ้าและตี น้องถูกตีวันอังคาร จับไข้ นอนซม
กลางคืนนอนผวา คุณครู ค่ะ หนูเจ็บ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว นี่คือเสียง ของ น้อง ที่ผวาต่อการกระทำ พ่อสุดแสดปวดราวทำอะไรไม่ได้เห็นลูกนอนน้ำตาใหล

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่น้องโดนตีแบบนี้ ครั้งแรกใช้ฟุตเหล็กตี ช้ำเหมือนกันแต่ทาง ผอ.โรงเรียน ขอให้ผู้ปกครองไม่เอาความ แบบนี้มันถูกต้องหรอ ครูแบบนี้



‎ท่านนายอำเภอบางคล้า‬ ,ท่านนายกเทศบาล บางคล้า , ท่าน ผอ. โรงเรียน , ท่าน ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา
ท่าน คิดว่าควรทำอย่างไร ซึ่ง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ในการที่บุคลากร ที่ขึ้นชื่อ ว่าแม่พิมพ์ของชาติ กระทำเกินกว่าเหตุ



ผอ จะย้ายครูคนนี้ไปอยู่มัธยมแทน แต่ว่าเอาออกจากราชการไปเลยนี่แหละดีที่สุดแล้ว คงไม่มีใครไว้ใจฝากลูกหลานไว้กับครูคนนี้แล้วล่ะ เดี๋ยวก็คงออกมาบอกว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้ ระหว่างนี้ก็ย้ายไปสอนที่อื่น หรือพักงาน ซักพักแม่งก็เงียบ!!!



ไม่เห็นเคยไล่ออกซักที ได้แต่บอกว่า ผิดครั้งแรก ครูคนนี้เป็นคนดี สอนดี เอาจริงๆนะ ต่อให้สอนดีแต่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมย์แบบนี้ก็ไม่สมควรเป็นครูอ่ะ นี่น้องยังเล็กอยู่เลย แล้วผวากลัวขนาดนั้น มันจะเป็นปมในใจเด็ก บอกได้คำเดียวเลย ครูเลวเอาออกจากการเป็นครูเถอะค่ะ จิตใจทำด้วยอะไร

ถ้าน้องเขาเก่งเขาคงไม่ไปเรียนหนังสือหรอก เอาออกสถานเดียว



เรือจ้าง แม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ ทั้งหลายที่ท่านได้เห็นโพสต์นี้แล้ว หยุดเถอะ ทั้งวาจา แววตา และการกระทำ โปรด!! อย่าทำร้ายเด็กที่ไม่มีทางต่อสู้เราได้เลย คนเราความฉลาดทางปัญญา eq iq ต่างๆ กันไปนะ ความปรารถนาดีของครูคือสิ่งที่ประเสริฐ และยอดเยี่ยมที่สุด แต่ถ้าปรารถนาดีแล้วควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จะกลายเป็นทำร้ายเด็กๆ ไปนะคะ ครูบางคนไม่ตีเด็ก แต่ใช้วาจาบั่นทอน ทำร้ายเด็กอย่างที่สุด!! หยุด!! การกระทำแบบนี้กันเถอะ มีแต่ผลเสียทั้งนั้นค่ะ ถ้าทำกับเด็กมัธยมแบบนี้ สักวันอาจจะโดนเด็กกระโดด.. เอานะ ^^ ใจร้ายเกิ๊นนน!! เข้าใจคนเป็นครูนะ การทำโทษวิธีสุดท้ายคือการตี เฉพาะเด็กที่สุดยอดแล้วจริงๆ นะ ก่อนทำโทษก็ควรจะพูดคุยกับ ผู้ปกครองเด็กก่อน เพื่อจะได้เรียนรู้พัฒนาการของเด็ก เพราะเด็กบางคนพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ทำความเข้าใจเด็ก แล้วครูจะเจริญในหน้าที่การงาน

Tuesday, January 17, 2017

“บ้านพะโป้” สมัย ร.5 เรื่องจริง! สู่วรรณกรรมโศกนาฏกรรมรัก “ชั่วฟ้าดินสลาย”



บ้านที่สวยที่สุดในอดีตของคลองสวนหมาก "บ้านพะโป้" เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังรูปแบบไทยผสมตะวันตก ประดับด้วยไม้ฉลุลายอย่างประณีตเป็นบ้านของ พะโป้ คหบดีชาวพม่า ซึ่งมีอาชีพค้าไม้ที่บริเวณปากคลองสวนหมาก เมืองนครชุม ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้ซื้อบ้านมาจากพระยาราม ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร เมื่อปี พ.ศ. 2449 ได้เสด็จเยือนบ้านพะโป้ จนเป็นที่มาของชื่อ บ้านห้าง ร.5

ตามประวัติกล่าวว่า มองสุภอ หรือ พระยาตะก่า พี่ชายพะโป้ ได้เข้ามาขอรับเช่าทำการค้าไม้ จากพระยากำแพงเพชร (อ่อง) ในราวปลายรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2418 จนถึงปี พ.ศ. 2418 ได้ถึงแก่กรรม ต่อมา ปี พ.ศ. 2429 พะโป้ได้เริ่มทำการค้าไม้ โดยตั้งบ้านเรือนที่บริเวณปากคลองสวนหมาก ซึ่งเป็นทำเลในการชักลากลำเลียงซุงไม้จากป่า ส่งลงไปยังเมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าไม้ ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือตอนล่าง

ด้วยความมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา พะโป้ และ พระยาตะก่า (พี่ชาย) ได้ร่วมกัน บูรณะองค์พระเจดีย์และยกยอดฉัตร วัดพระบรมธาตุเจดียาราม ที่นครชุมแห่งนี้ ตำบลนครชุม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ใกล้วัดสว่างอารมณ์  ใครที่เคยดูภาพยนตร์ เรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย ที่เป็นวรรณกรรมสุดอมตะ และเป็นบทภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรัก เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมรักของ ชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่หนึ่ง ที่เชื่อกันว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย "พะโป้" หนึ่งในตัวละครของนวนิยายชื่อดังที่ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่น ชั่วฟ้าดินสลาย

ซึ่งเป็นเรื่องราวของคหบดีชื่อ พะโป้ นายห้างค้าไม้ชาวกะเหรี่ยงที่มาทำธุรกิจในเมืองกำแพงเพชรได้พบรักกับยุพดี หญิงสาวสวยและตกลงใจพาเธอมาอยู่ด้วยกันที่กำแพงเพชร พะโป้มีหลานชื่อ ส่างหมอง เป็นหนุ่มรูปงาม ต่อมายุพดีกับส่างหมองเริ่มรักกันและมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง จนพะโป้จับได้และใส่โซ่ตรวนทั้งสองใช้ชีวิตด้วยกันเกิดเป็นโศกนาฎกรรมขึ้น

ก่อนหน้านี้หลายคนอาจคิดว่า ชั่วฟ้าดินสลาย อาจเป็นนวนิยายที่ มาลัย ชูพิจิ แต่งขึ้นโดยไร้ข้อเท็จจริง ทว่าพะโป้กลับมีตัวตนในประวัติศาสตร์ เป็นคหบดีชาวกะเหรี่ยงที่เข้าทำการค้าไม้ที่นครชุม จังหวัดกำแพงเพชร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งในชีวิตจริงพะโป้มีคู่ชีวิตชื่อแม่ทองย้อย ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่ของบ้านคลองสวนหมากมีบุตรกัน 4 คน เป็นต้นสกุลของ “รัตนบรรพต” ตามหลักฐานพระราชหัตเลขาของรัชกาลที่ 5 ยังทรงบันทึกว่า

“เมียเป็นไทย ชื่อว่าอำแดงท่องย้อยเป็นบุตรผู้ใหญ่บ้านวันแลอำแดงไท ตั้งบ้านเรือนอยู่ติดกันในที่นั้น ได้ขึ้นถ่ายรูปที่หน้าบ้าน 2 บ้านนี้”


พะโป้ได้เสียชีวิตในช่วงรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2460) หลังจากนั้นกิจการทำไม้ของพะโป้ก็ตกเป็นของบริษัททำไม้แห่งหนึ่ง (ไม่ระบุชื่อ) จนเมื่อไม้มีไม่พอทำแล้ว บริษัทก็ปิดที่ทำการนี้ลง และบ้านห้างก็ถูกทิ้งนับตั้งแต่นั้น การทำไม้ตกอยู่กับบริษัทการทำไม้ใหญ่ แต่เรื่องราวของพะโป้ยังคงถูกเล่าขานในชุมชนนครชุม ปัจจุบันบ้านพะโป้ทรุดโทรมลงไปมาก สภาพที่ยังคงรูปแบบเป็นบ้านสมัยเก่าอยู่แต่ไม้ผุพังแล้ว จะมีป้ายเขียนว่า “ห้ามขึ้นบนบ้าน” แม้จะเป็นทรัพย์สินของนายทุนต่างพื้นที่ แต่ชาวบ้านยังคงรักษาตามสภาพ ปลูกดอกไม้ ตัดหญ้า เพราะที่นี้คือหลักฐานที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนนครชุม ชาวบ้านที่นี้จะรู้จักกันว่า “บ้านห้าง ร. 5”

ข้อมูลจาก : ฆรณี แสงรุจิ. วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 19 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2536

Monday, January 16, 2017

ราศีที่จะ "ปลดหนี้" หมด พ่อแม่สบาย และจะลุกขึ้นมา มี"เงินทอง" อีกครั้งเร็วๆนี้


ราศีที่จะ "ปลดหนี้" หมด พ่อแม่สบาย และจะลุกขึ้นมา มี"เงินทอง" อีกครั้งเร็วๆนี้
ใคร กดแชร์ ขอให้จับเงินล้าน สาธุ..




อาการโรคมะเร็ง 10 สัญญาณอันตรายแบบนี้ ละเลยได้ไง..


โรคมะเร็ง ภัยใกล้ตัวสุดอันตรายที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง มาดู 10 สัญญาณของโรคมะเร็งที่คนเรามักมองข้าม มารู้กันไว้ซะ ก่อนจะสายเกินแก้

ส่วนใหญ่แล้วอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ก็มักจะส่งสัญญาณให้เรารู้ตัวกันทั้งนั้น เพื่อให้เราหาทางรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งโรคมะเร็งก็เช่นกัน สัญญาณเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถบ่งบอกได้ แต่ทว่าคนเรากลับมักจะละเลยความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ­­้นเพียงเล็กน้อย แต่ว่าจะมีสัญญาณสุขภาพใดบ้างที่บ่งบอกให้เราทราบได้ว่าเรากำลั­­­งเผชิญอยู่กับโรคมะเร็ง วันนี้กระปุกจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับสัญญาณจากโรคมะเ­ร็งที่จะแสดงออกให้เราได้เห็นกัน ซึ่งเว็บไซต์ Prevention  ได้หยิบยกตัวอย่างสัญญาณสุขภาพมาบอก พร้อมแล้วก็รีบเลื่อนลงไปดูกันเลย

1. มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย 
การที่ร่างกายของเรามีก้อนเนื้อแปลกปลอมเกิดขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้ เช่นมะเร็งเต้านมในผู้หญิงเป็นต้น คนที่มีก้อนเนื้อแปลกปลอมส่วนใหญ่ถึง 77% ไม่คิดว่าก้อนเนื้อเหล่านั้นเป็นสัญญ­าณอันตรายของโรคที่ร้ายแรง ซึ่งนั่นทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งก็สายเกินไปเสี­­­ยแล้ว ดังนั้นหากคลำเจอก้อนเนื้อแปลกปลอม ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียดจะดีกว่านะ

2. อาการไอ และเสียงแหบแห้ง
เวลาคนเราเป็นไข้หวัดก็มักจะมีอาการไอร่วมด้วยอยู่เสมอ แต่ถ้าหากคุณหายจากอาการไข้หวัดแล้วยังคงไออยู่ตลอดไม่หายเสียท­­­ีละก็ ก็อาจจะเป็นสัญญาณของมะเร็งปอด มะเร็งในต่อมไทรอยด์ หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้เช่นกัน โดยอาการอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลานั้นเป็นสัญญาณหนึ่งที่สำคัญ­­­แต่คนเรากลับละเลย และคิดว่าที่ไอนั้นเป็นเพราะสาเหตุอื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าหากคุณมีอาการไอติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ควรจะไปพบแพทย์จะดีกว่า จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงค่ะ

3. ความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารเกิดความผิดปกต­ิ รวมทั้งระบบขับถ่ายก็จะผิดปกติตามไปด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณรู้สึกว่าอาหารไม่ย่อยบ่อย ๆ หรือแม้แต่เกิดอาการท้องผูกที่รุนแรงละก็ ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าอาการเหล่านั้นไม่ใช้สัญญาณของการ­­­เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลกันทีหลัง

4. ความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ 
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นสิ่งที่พบได้อยู่เสมอ ซึ่งโดยทั่วไปไม่อันตราย แต่ถ้าหากเริ่มมีเลือดปะปนออกมาในปัสสาวะ ก็อย่าชะล่าใจไปนะ เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ละเลยภาวะเลือดออกในปัสสาวะ และมาพบที่หลังว่าตนเองเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งในไต หรือต่อมลูกหมาก ดังนั้นอย่ามัวแต่คิดว่าการมีเลือดออกมาปะปนในปัสสาวะ หรือการที่รู้สึกเจ็บเวลาที่ปัสสาวะจะเป็นเพียงแค่การติดเชื้อ ไปตรวจให้แน่ใจดีกว่าเนอะ

5. อาการปวดแบบไร้สาเหตุ
อาการปวดบางชนิดที่เรื้อรัง อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ อาทิ มะเร็งกระดูกหรือมะเร็งรังไข่ โดยสมาคมโรคมะเร็งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยว่าอาการปวดนั­­้นคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง ซึ่งในการศึกษาหนึ่งพบว่ามีคนเพียง 40 % เท่านั้นที่เมื่อเกิดอาการปวดเรื้อรังแล้วจะไปพบแพทย์เพื่อทำกา­­­รตรวจวินิจฉัยให้แน่นอน

6. เจ็บคอเรื้อรัง
อาการเจ็บคอเรื้อรัง เป็นหนึ่งในสัญญาณที่คนมักจะละเลยและคิดว่าเกิดจากอาการไข้หวัด­­­ธรรมดาทั่วไป ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอาการเจ็บคอเรื้อรัง อาจจะเป็นสัญญาณที่สำคัญของ­โรคมะเร็งกล่องเสียงหรือมะเร็งในลำคอได้ โดยมีการศึกษาพบว่า 78% ของอาสาสมัครที่เข้าร่วมในงานวิจัย ไม่คิดว่าอาการเจ็บคอเป็นสัญญาณอันตรายใด ๆ และไม่คิดจะพบแพทย์ ซึ่งความชะล่าใจแบบนี้ล่ะค่ะที่ทำให้บางรายไม่สามารถรักษาโรคมะ­­­เร็งได้ทันกาล ฉะนั้นอย่าวางใจกับอาการเจ็บคอเรื้อรังเป็นอันขาดเลยนะ

7. น้ำหนักลดโดยไร้สาเหตุ 
สมาคมโรคมะเร็งอเมริกันเปิดเผยว่าการที่น้ำหนักลดลงแบบไร้สาเหต­­­ุมากกว่า 5 กิโลกรัมขึ้นไปนั้น เป็นสัญญาณที่สำคัญอันดับแรก ๆ ของโรคมะเร็งหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งในหลอดอาหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะละเลยและคิดว่าอาจจะเป็นโรคอื่นมากกว่า ไม่ก็ดีใจที่น้ำหนักลด ซึ่งจริง ๆ การที่น้ำหนักลดแบบไร้สาเหตุอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม­­­่ควรละเลยอย่างยิ่ง ถ้าไม่อยากให้อาการป่วยสายเกินแก้ หากน้ำหนักลดเร็วและมากเกินไป ควรจะรีบไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ

8. กลืนอาหารลำบาก
แม้ว่าการที่คนเรากลืนอะไรได้ลำบากจะเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวก­­ับระบบประสาทหร­­ืออาการแพ้ต่าง ๆ แต่อาการนี้ก็เป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคมะเร็งในหลอดอาหารหรือโรคมะเร็งในลำคอ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยเป็นอันขาด หากเกิดอาการกลืนอาหารหรือน้ำลายได้ลำบากบ่อยมากจนเกินไป ไม่ควรจะสันนิษฐานว่าเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกัน แต่ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยค่ะ หากเป็นโรคมะเร็งจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

9. เลือดออก 
เลือดออกถือเป็นอาการที่น่ากลัวและอันตราย รวมทั้งเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้อีกด้วย อย่างเช่นการไอเป็นเลือด ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปอด หรือแม้แต่การปะปนของเลือดในอุจจาระหรือปัสสาวะก็อาจจะเป็นสัญญ­­­าณเตือนของโรคมะเร็งในระบบขับถ่ายได้เช่นกัน นอกจากนี้การที่ผู้หญิงมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นประจำเดือนก็ยังเตือนได้ถึงโรคมะเร็งปากมดลูก ฉะนั้นไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่อยากจะรู้ตัวเมื่อสาย รีบไปพบแพทย์ทันทีที่มีเลือดออกแบบไม่มีสาเหตุเลยดีกว่า

10. เกิดการเปลี่ยนแปลงของไฝบนผิวหนัง 
ไฝบนผิวหนังบางชนิดก็เป็นสัญลักษณ์ของโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นก­­­ัน โดยไฝที่บ่งบอกถึงโรคมะเร็งผิวหนังนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สั­­­งเกตเห็นได้ง่าย โดยอาจจะมีขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ความสำคัญ กว่าจะรู้ตัวอีกทีมะเร็งผิวหนังก็ลุกลามจนการรักษาเป็นไปได้ยาก­­­และเป็นเวลานาน ถ้าไม่อยากต้องเสียเวลารักษา และต้องทนเจ็บปวดกับการรักษาก็ควรสังเกตไฝที่เกิดขึ้นตามร่างกา­­­ยอยู่เสมอ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติก็ควรไปหาแพทย์ผิวหนังเพื่อตรว­­­จวินิจฉัยค่ะ

สัญญาณทั้ง 10 อย่างที่แนะนำกันไป ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งถ้าหากเราหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในร่างกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ โรคมะเร็งที่ว่าอันตรายและน่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดควา­มสามารถในการรักษาของแพทย์อย่างแน่นอน อ่านจบแล้วรีบสังเกตกันดีกว่าว่าร่างกายของเราเกิดการเปลี่ยนแป­­­ลงอย่างไรบ้าง รู้รักษาทันกาล ก็ปลอดภัยนะคะ

CR: kapook.com

Sunday, January 15, 2017

อยากสุขภาพดี รีบไปหามากินด่วน! สุดยอด 37 อาหาร พิชิตสุขภาพดีห่างไกลโรคร้าย


1. สะเดา (Neem tree) มีเบต้าแคโรทีนสูงบำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ

2. ผักกาดขาว (Chinese white cabbage) ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูงบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์

3. หัวหอมเล็ก (Shallot) มีน้ำมันหอมระเหยบรรเทาอาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง

4. แครอท (Carrot) เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพ็กเตต ลดระดับ คอเลสเตอรอลได้

5. หอมหัวใหญ่ (Onion) มีสารฟลาโวนอยด์ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

6. คะน้า (Chinese kale) มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง

7. พริก (Chilli) มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ

8. กระเจี๊ยบเขียว (Okra) ลดความดันโลหิตบำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ

9. ผักกระเฉด (Water mimosa) ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร

10. ตำลึง (Ivy gourd) มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร

11. มะระ (Chinese bitter cucumber) มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด

12. ผักบุ้ง (Water spinach) บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอบำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด

13. ขึ้นฉ่าย (Celery) กลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหารมีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

14. เห็ด (Mushroom) แคลอรีน้อย ไขมันต่ำมีวิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน

15. บัวบก (Indian pennywort) มีวิตามินบีสูงช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำบำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ

16. สะระแหน่ (Kitchen mint) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น ทำให้ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว

17. ชะพลู (Cha-plu) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะ มีแคลเซียมสูง

18. ชะอม (Cha-om) ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ

19. หัวปลี (Banana flower) รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีนและวิตามินซีสูง

20. กระเทียม (Garlic) ลดไขมันในเลือดป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลต เหล็กวิตามินซีสูง

21. โหระพา (Sweet basil) น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซีย

22. ขิง (Ginger) บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ

23. ข่า (Galangal) น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา

24. กระชาย (Wild ginger) บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามินเอและแคลเซียม

25. ถั่วพู (Winged bean) ให้คุณค่าทางอาหารสูงมีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว

26. ดอกขจร (Cowslip creeper) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

27. ถั่วฝักยาว (Long bean) มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด

28. มะเขือเทศ (Tomato) มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง

29. กะหล่ำปลี (White cabbage) มีกลูโคซิโนเลต เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินสูง

30. มะเขือพวง (Plate brush eggplant) ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส

31. ผักชี (Chinese parsley) ขับลม บำรุงธาตุช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง

32. กุยช่าย (Flowering chives) มีกากใยช่วยระบายของเสีย มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง

33. หัวไชเท้า (Chinese radish) แก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรค มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี

34. กะเพรา (Holy basil) แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือดได้

35. แมงลัก (Hairy basil) ช่วยย่อยอาหารป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ

36. ดอกแค (Sesbania) กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อนๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา

37. หญ้าอ่อน กินเพิ่มความคึกคักให้กระชุ่มกระชวย หัวใจสูบฉีด สมองแจ่มใส อายุยืนยาว สำหรับทุกเพศโดยเฉพาะวัยสูงอายุ